องค์ประกอบของคอมพิวเตอร์
เครื่องคอมพิวเตอร์จะทำงานได้ต้องประกอบด้วยหน่วยสำคัญ
5
ส่วน ได้แก่
หน่วยรับเข้าหน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำหลัก
หน่วยความจำรอง และหน่วยส่งออก
1. หน่วยรับเข้า (input
unit)
ทำหน้าที่รับข้อมูลคำสั่งจากภายนอกหรือจากผู้ใช้เข้ามา เพื่อนส่งต่อไปยังหน่วยประมวลผลกลางให้ทำการประมวลผลต่อไป
ข้อมูลที่นำเข้าคอมพิวเตอร์ได้โดยผ่านอุปกรณ์รับข้อมูล เช่น แผงแป้นอักขระ เมาส์
ลูกกลมควบคุม แท่งชี้ควบคุม แผ่นรองสัมผัส ก้านควบคุม ปากกาแสง เครื่องอ่านพิกัด
จอสัมผัส เครื่องอ่านรหัสแท่ง เครื่องกราดตรวจ กล้องดิจิทัล กล้องเว็บแคม
และไมโครโฟน
2. หน่วยประมวลผลกลาง (central
processing unit : CPU)
ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางการประมวลผล
คำนวณและควบคุมการทำงานต่างๆในระบบคอมพิวเตอร์
ทำให้ทุกหน่วยทำงานสอดคล้องประสานและสัมพันธ์กัน หน่วยประมวลผลกลางนี้
จะรับข้อมูลหรือชุดคำสั่งที่ผู้ใช้ป้อนผ่านอุปกรณ์รับข้อมูลเพื่อดำเนินการประมวลผลต่อไป
วงจรในหน่วยประมวลผลกลาง
ประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 หน่วย ได้แก่
1. หน่วยควบคุม (control unit : CU)ทำหน้าที่อ่านคำสั่งเข้ามาทีละคำสั่งและตีความว่าเป็นคำสั่งใด
ใช้ข้อมูลจากไหน ซึ่งถือว่าเป็นการควบคุมทำงานของระบบคอมพิวเตอร์ทั้งหมด
และประสานงานระหว่างหน่วยต่างๆ ในระบบคอมพิวเตอร์
2. หน่วยคำนวณและตรรกะ (arithmetic – logic unit : ALU)
ทำหน้าที่ประมวลผลคำสั่งด้วยวิธีการทางคณิตศาสตร์ เช่น บวก (+) ลบ (-) คูณ (x)หาร (/)
และเปรียบเทียบตรรกะ เพื่อนทำการตัดสินใจเกี่ยวกับค่าของข้อมูล เช่น มากกว่า (>) น้อยกว่า (<)มากกว่าหรือเท่ากับ (≥)
การทำงานของหน่วยประมวลผลกลางจะเริ่มที่หน่วยควบคุมนำคำสั่งที่ต้องการใช้จากหน่วยความจำหลักมาเก็บไว้ที่เรจิสเตอร์
(register) ซึ่งเป็นส่วนประกอบของไมโครโพรเซสเซอร์ที่ใช้ในการเก็บข้อมูลชั่วคราว
จากนั้นจะทำการถอดรหัสหรือแปลความหมายต่างๆแล้วงส่งไปยังหน่วยคำนวณและตรรกะ
เพื่อประมวลผลคำสั่งทีละคำสั่งแล้วนำผลลัพธ์ที่ได้ไปเก็บไว้ในหน่วยความจำหลักหรือเรจิสเตอร์ต่อไป
3. หน่วยความจำหลัก (main
memory unit)
เป็นหน่วยเก็บข้อมูลที่มีความเร็วในการเข้าถึงข้อมูลสูงและจำเป็นต้องมีในเครื่องคอมพิวเตอร์
ถ้าไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่สามารถทำงานได้จึงเรียกหน่วยความจำประเภทนี้ว่าหน่วยความจำหลักหน้าที่ของหน่วยความจำหลักในระบบคอมพิวเตอร์ได้แก่
ใช้เป็นที่เก็บข้อมูลก่อนนำไปประมวลผล เก็บคำสั่งของโปรแกรมขณะใช้งาน
และเก็บผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลก่อนนำไปแสดงผล
หน่วยความจำหลักในระบบคอมพิวเตอร์
แบ่งได้เป็น 4 ประเภท ดังนี้
1. หน่วยความจำหลักแบบอ่านได้อย่างเดียว
หรือ รอม (read-only memory : ROM)
เป็นหน่วยความจำที่บริษัทผู้ผลิตไมโครคอมพิวเตอร์บรรจุซิปหน่วยความจำแบบติดตั้งถาวรหรือไบออส(basic
input/output system : BIOS) ไว้บนแผงวงจรหลักเรียบร้อยแล้ว
โดยข้อมูลที่บรรจุในหน่วยความจำแบบนี้จะยังอยู่แม้จะปิดเครื่องไปแล้ว
และเมื่อเปิดเครื่องใหม่หน่วยประมวลผลกลางจะอ่านโปรแกรมหรือข้อมูลในหน่วยความจำรอมมาใช้ประมวลได้เท่านั้น
แต่ไม่สามารถนำข้อมูลอื่นมาเขียนในรอมได้
รอมแบ่งได้หลายชนิด
ดังนี้
พร็อม(programmable ROM :
PROM)
เป็นหน่วยความจำรอมชนิดที่ผู้ใช้สามารถเขียนโปรแกรมหรือคำสั่งแล้วบันทึกเอาไว้อย่างถาวร
โดยอาศัยเครื่องมือเฉพาะ แต่คำสั่งที่บันทึกนั้นไม่สามารถแก้ไขได้อีก
อีพร็อม(erasable
PROM : EPROM ) เป็นหน่วยความจำรอมชนิดที่สามารถเขียนโปรแกรมหรือคำสั่ง
บันทึก ลบ และแก้ไขข้อมูลได้ด้วยการฉายรังสีอัลตราไวโอเลตลงบนผิวซิลิคอน
อีอีพร็อม(electrically
erasable PROM : EEPROM) เป็นหน่วยความจำรอมชนิดที่ใช้กระแสไฟฟ้าเขียนโปรแกรม
หรือคำสั่งลงไปได้ง่ายกว่าอีพร็อม มีโปรแกรมเป็นตัวควบคุมและไม่ต้องใช้แสงอัลตราไวโอเลต
นอกจากนี้การเขียนและลบข้อมูลบนอีอีพร็อมจะใช้เวลามากกว่าแรมหลายเท่า
จึงเหมาะสำหรับงานที่ไม่ต้องแก้ไขข้อมูลบ่อยนัก
และความเร็วของอีอีพร็อมใกล้เคียงกับแรมมาก จึงถูกใช้กับ=คอมพิวเตอร์ห้างสรรพสินค้าที่เก็บรายละเอียดของสินค้า
ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเปลี่ยนแปลงราคาสิ้นค้าได้ตลอดเวลา
รวมถึงข้อมูลที่อยู่ในอีอีพร็อมจะยังคงอยู่แม้ปิดเครื่องคอมพิวเตอร์
2. หน่วยความจำหลักแบบแก้ไขได้
หรือแรม (random access memory :
RAM)
เป็นหน่วยความจำที่ใช้สำหรับเก็บข้อมูลคำสั่งที่เป็นโปรแกรมและข้อมูลที่จะทำการประมวลผล ในขณะที่มีการเปิดเครื่องและมีไฟฟ้าอยู่นั้น
จึงต้องมีการจ่ายกระแสไฟฟ้าให้กับตัวแรมอยู่ตลอดเวลา จึงจะสามารถเก็บข้อมูลอยู่ได้
ถ้าไฟฟ้าดับหรืไม่มีกระแสไฟฟ้าจ่ายให้กับตัวแรม
ข้อมูลต่างๆที่เก็บไว้บนตัวแรมจะหายหมด
แรมที่ใช้ในเครื่องคอมพิวเตอร์มี 2 ประเภท
ดังนี้
(1) .ไดนามิกแรมหรือดีแรม (dynamic RAM :
DRAM) เป็นหน่วยความจำที่พบในเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์มากที่สุด
เพราะราคราไม่แพงและมีความจุข้อมูลสูง
หน่วยความจำชนิดนี้เก็บข้อมูลเลขฐานสองแต่ละบิตไว้ที่ตัวประจุ
ซึ่งเมื่อคายประจุจะทำให้ข้อมูลที่เก็บไว้หายไปได้
จึงต้องออกแบบให้มีการย้ำสัญญาณไฟฟ้าที่เรียกว่า รีเฟรช(refresh)
ให้ตัวเก็บประจุอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้ข้อมูลที่อยู่ภายในยังคงอยู่ตลอดการใช้งาน
แต่การรีเฟรชนี้มีผลทำให้ดีแรมอ่านและเขียนข้อมูลได้ช้า
การเข้าถึงข้อมูลของดีแรมแบ่งเป็น 2 ช่วง
ดังนี้
ช่วงจัดเตรียม (set up time)
เป็นช่วงเวลาที่ใช้ในการเตรียมพื้นที่ในแรมให้พร้อมในการรับส่ง-ข้อมูล โดยพื้นที่ที่เก็บข้อมูลแบ่งเป็นตำแหน่งที่อยู่ (address) การกระจายหรือเขียนข้อมูล ซีพียูต้องส่งสัญญาณที่ระบุตำแหน่งดังกล่าวไป
ช่วงรอบการทำงาน (cycle time) เป็นช่วงเวลาที่ใช้ในการอ่านหรือเขียนข้อมูลในตำแหน่งที่อยู่ที่ระบุส่งกลับมายังซีพียู
ดีแรมได้ทีการพัฒนาออกมาหลายรุ่น
ซึ่งแต่ละรุ่นมีความแตกต่างกันในด้านความเร็วของการรับส่ง-ข้อมูล
(2) .สแตติกแกรม หรือเอสแรม (static RAM :
SRAM) เป็นหน่วยความจำที่อ่านและ เขียนข้อมูลได้เร็วกว่าดีแรม
เพราะไม่มีการรีเฟรชตลอดเวลา แต่จุข้อมูลได้น้อยและมีราคาแพง
3. หน่วยความจำแคช (cache memory) เป็นหน่วยความจำแรมที่เพิ่มความเร็วในการอ่าน และเขียนข้อมูลของหน่วยความจำประเภทดีแรม
โดยทำงานอยู่ตรงกลางระหว่างซีพียูและดีแรมหน่วยความจำแคชทำหน้าที่เก็บข้อมูลและคำสั่งที่มีการใช้งานบ่อย
เมื่อมีการเรียกใช้คำสั่งดังกล่าว
ซีพียูจึงไม่จำเป็นต้องเข้าถึงข้อมูลในแรม
แต่สามารถเรียกข้อมูลจากหน่วยความจำแคชซึ่งเข้าถึงข้อมูล ได้โดยตรง
ทำให้ลดเวลาในการอ่านและเขียนข้อมูลได้
4)
หน่วยความจำวีดีโอแรม หรือวีแรม (video RAM :VRAM) เป็นหน่วยความจำแรมที่ใช้สำหรับการแสดงผลซึ่งติดตั้งมากับ
การ์ดแสดงผลหรือการ์ดจอที่มีราคาแพง
คุณภาพดีและมีความเร็วสูงในการทำงาน
4. หน่วยความจำรอง (secondary memory unit)
หรือหน่วย-เก็บข้อมูลสำรอง
เป็นหน่วยความจำที่สามารถรักษาข้อมูลได้ตลอดไป
หลังจากปิดคอมพิวเตอร์แล้ว
หน่วยความจำรองมีหน้าที่หลักดังนี้วิดีโอแรมหรือวีแรม
(video RAM : VRAM)
1)
ใช้ในการเก็บข้อมูลหรือสำรองข้อมูลเพื่อใช้ในอนาคต
2) ใช้ในการเก็บข้อมูลโปรแกรมไว้อย่างถาวร
3)
ใช้เป็นสื่อในการส่งผ่านข้อมูลระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องหนึ่งไปยังอีกเครื่องหนึ่ง
หน่วยความจำรองจะช่วยแก้ปัญหาการสูญหายของข้อมูลอันเนื่องมาจากไฟฟ้าดับ
เพราะข้อมูล
ต่างๆที่ส่งเข้ามาประมวลผล เมื่อประมวลผลเรียบร้อยแล้ว
ผลลัพธ์ที่ได้จากการประมวลผลจะถูกนำไป
เก็บไว้ในหน่วยความจำหลักประเภทแรม
หากปิดเครื่องหรือมีปัญหาทางไฟฟ้าอาจทำให้ข้อมูลเหล่านั้น สูญหาย
จึงจำเป็นต้องมีหน่วยความจำรองไว้ เพื่อนำข้อมูลจากหน่วยความจำแรมมาเก็บไว้เรียกใช้งาน ในครั้งต่อๆไป
หน่วยความจำประเภทนี้โดยส่วนใหญ่จะพบเห็นในรูปของสื่อที่ใช้ในการบันทึกข้อมูลภายนอก
เช่น ฮาร์ดดิสก์ แผ่นบันทึก ซิปดิสก์ ซีดีรอม เทปแม่เหล็ก หน่วยความจำแบบแฟลช
หน่วย- ความจำรองนี้ถึงจะไม่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ แต่เครื่องคอมพิวเตอร์ก็ยังสามารถทำงานได้ปกติ
และหน่วยความจำรองที่ทำให้คอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องมีคุณลักษณะพิเศษในด้านความจุข้อมูลและความเร็วแตกต่างกัน
คือ ฮาร์ดดิสก์ (hard
disk)
ฮาร์ดดิสก์ หรือ จานบันทึกแบบแข็ง เป็นอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ที่บรรจุข้อมูลแบบไม่ลบเลือน มีลักษณะเป็นจานโลหะที่เคลือบด้วยสารแม่เหล็ก หลายแผ่นซ้อนกัน หัวอ่านของเครื่องขับจะมี หลายหัว ในขณะที่จานโลหะแต่ละแผ่นหมุน หัวอ่านจะเคลื่อนที่เข้า-ออก
เพื่ออ่านข้อมูลที่เก็บบนพื้นผิวแผ่น การเก็บข้อมูลในแต่ละแผ่จะเป็นวง แต่ละวงของ ทุกแผ่นเรียกว่า ไซลินเดอร์ (cylinder) แต่ละ
ไซลินเดอร์จะแบ่งเป็นเซกเตอร์ แต่ละเซกเตอร์ จะเก็บข้อมูลเป็นชุดๆขณะเขียนหรืออ่านข้อมูล จานโลหะจะหมุนอย่างรวดเร็ว โดยการหมุนของจานโลหะแต่ละรอบนี้ เรียกว่า ความเร็วรอบ
ซึ่งมีหน่วยเป็น rpm (revolutions per
minute :รอบต่อนาที) ยิ่งความเร็วรอบถี่ขึ้นมากเท่าไร
นั่นหมายความว่า อัตราการถ่ายโอนข้อมูลหรือการเข้าถึงข้อมูลไปมาระหว่างฮาร์ดดิสก์ก็มีโอกาสที่จะทำได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม อัตราเร็วของการถ่ายโอน ข้อมูลที่เร็วกว่า rpm จะอยู่ในหน่วยมิลลิวินาที (ms : millisecond) ซึ่งหากมีความเร็วสูง ตัวเลขที่ระบุความเร็วรอบจะยิ่งน้อยลง เช่น
ฮาร์ดดิสก์ความเร็วรอบ8มิลลิวินาที จะเร็วกว่าฮาร์ดดิสก์ความเร็วรอบ 12 มิลลิวินาที
การติดตั้งฮาร์ดดิสก์เข้ากับตัวคอมพิวเตอร์สามารถทำได้โดยใช้ตัวต่อประสาน (interface) ต่อเข้ากับแผงวางจรหลัก (main board) โดยตัวต่อประสานภายใน ได้แก่ แบบขนาน (PATA) แบบอนุกรม (SATA) แบบไอดีอี (IDE) และแบบเล็ก (SCSI) ทั้งยังสามารถต่อเข้าเครื่องจากภายนอกได้ ผ่านทางยูเอสบี (USB) หรือไฟร์ไวร์ (Fire Wire) รวมไปถึงตัวต่อประสานอนุกรมแบบต่อนอก(eSATA) ซึ่งทำให้ใช้ฮาร์ดดิสก์ได้สะดวกยิ่งขึ้น
เมื่อไม่มีคอมพิวเตอร์ถาวรเป็นของตนเอง
ความจุของฮาร์ดดิสก์โดยทั่วไปในปัจจุบันมีตั้งแต่
20 กิกะไบต์ถึง 4 เทระไบต์ยิ่งมีความจุมาก
ก็จะยิ่งทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาเอสเอสดี (solid
state drive : SSD) เทคโนโลยีที่นำเอาหน่อยความจำแบบแฟสช
(flash memory) ซึ่งมีคุณสมบัติในการจัดเก็บข้อมูล
ไว้ได้โดยไม่สูญหาย
แม้ในขณะที่ไม่มีไฟหล่อเลี้ยงมาประยุกต์ทำเป็นอุปกรณ์จัดเก็บข้อมูลในลักษณะ
ฮาร์ดดิสก์บรรจุในคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลและคอมพิวเตอร์ขนาดสมุดบันทึก
5. หน่วยส่งออก (output
unit) เป็นหน่วยที่ทำหน้าที่แสดงผลลัพธ์ออกมาให้ผู้ใช้สามารถเห็นและรับรู้ได้ตามต้องการ ข้อมูลที่รับเข้ามา
เมื่อผ่านการประมวลผลจากหน่วยประมวลผลกลางแล้วจะถูกส่งไปยังหน่วยความจำหลัก
หลังจากนั้นจะส่งมาแสดงผลยังหน่อวยส่งออก
ซึ่งอุปกรณ์ส่งออกที่สามารถแสดงผลลัพธ์ได้หลายประเภท เช่น จอภาพ เครื่องพิมพ์
ลำโพง หูฟัง จอสัมผัส
หน่วยวัดความเร็วของซีพียูมีอะไรบ้าง
เมกะเฮิรตซ์
(MHz)
เป็นหน่วยวัดความเร็วของซีพียูตามสัญญาณนาฬิกาในไมโครคอมพิวเตอร์
มิปส์
(MIPS)
เป็นหน่วยวัดความเร็วของซีพียูในคอมพิวเตอร์ขนาดกลางขึ้นไป
ฟล็อบส์
(FLOPS)
เป็นหน่วยวัดความเร็วของซีพียูในซูเปอร์คอมพิวเตอร์
แผนวงจรหลักและการรับ-ส่งข้อมูลระหว่างหน่วยต่างๆ
1. แผนวงจรหลักหรือเมนบอร์ด (mother
board/mainboard) เป็นอุปกรณ์ที่บรรจุอยู่ภายในเคส (case) เปรียบเสมือนศูนย์กลางคอมพิวเตอร์ เพราะอุปกรณ์เป็นหน่วยรับเข้า
หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำหลัก หน่วยความจำสำรอง
และหน่วยส่งออกต้องถูกนำมาเชื่อมต่อกับแผนวงจรหลักถึงจะทำงานได้
2. การรับ-ส่งข้อมูลระหว่างหน่วยต่างๆ
1)
บัสข้อมูล(data bus)
เป็นบัสที่หน่วยประมวลผลกลางใช้เป็นเส้นทางผ่านและควบคุมการส่งถ่ายข้อมูลจากหน่วยประมวลผลกลาง
ไปยังอุปกรณ์ภายนอกหรือรับข้อมูลจากอุปกรณ์ภายนอกเพื่อทำกานประมวลผลที่หน่วยประมวลผลกลาง
2)
บัสรองรับข้อมูล(address
bus) เป็นบัสที่หน่วยประมวลผลกลางเลือกว่าจะส่งข้อมูลหรือรับข้อมูลจากอุปกรณ์ไหนไปที่ใดและต้องส่งสัญญาณเลือกออกมาทางบัสข้อมูลนี้
3)
บัสควบคุม(control
bus) เป็นบัสที่รับสัญญาณการควบคุมจากหน่วยประมวลผลกลางเพื่อบังคับว่าจะอ่านข้อมูลเข้ามาหรือจะส่งข้อมูลออกไปจากหน่วยประมวลผลกลาง
ระบบบัส ทางกายภาพ คือ สายทองแดงที่วางอยู่บนแผงวงจรหลักของเครื่องคอมพิวเตอร์
ที่เชื่อมโยงกับอุปกรณ์ต่างๆความกว้างของระบบบัสจะนับขนาดข้อมูลที่วิ่งอยู่โดยจะมีหน่วยเป็น
บิต(bit) บนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์
บัสจะมีความกว้างหลายขนาด ขึ้นอยู่กับรุ่นของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น บัสขนาด 8 บิต 16 บิต และ 32 บิต
บัสยิ่งกว้างจำให้การส่งถ่ายข้อมูลจะทำได้ครั้งละมากๆมีผลทำให้คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วตามไปด้วย
เนื่องจากอุปกรณ์ที่เชื่อมต่ออยู่ในเมนบอร์ดต้องการความเร็วในการติดต่อแตกต่างกัน
ระบบบัสบนแผงวงจรหลักจึงถูกแบ่งออกเป็นหลายชุด ดังนี้
1.) ระบบบัสแบบพีซีไอ(peripheral component interconnect : PCI)ระบบบัสแบบนี้มีชิปเซ็ตเป็นตัวควบคุมโดยเฉพาะทำให้มีความเร็วในการติดต่อกับอุปกรณ์ต่างๆได้สูงขึ้นคือ 33เมกะเฮิรตซ์
เป็นบัสแบบ 32 บิต
จึงมีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลเท่ากับ 133 เมกะไบต์ต่อวินาที ซึ่งระบบบัสชนิดนี้จะใช้เชื่อมต่อกับสล็อตแบบ PCI (สล็อตที่มีสีขาวบนแผงวงจรหลัก
ตามปกติจะมี 5-6 สล็อต) ซึ่งเป็นช่องใส่อุปกรณ์ความเร็วสูงรองลงมาจากการ์ดแสดงผล
ได้แก่ การ์ดเสียง โมเด็มและการ์ดแลน (LAN)
2.) ระบบบัสแบบเอจีพี(accelerated graphic port : AGP) เป็นระบบบัสความเร็วสูงพัฒนาเพื่อนำมาใช้กับการ์ดแสดงผลรุ่นใหม่เพื่อรองรับงานสื่อผสม
(multimedia) ซึ่งบัสชนิดนี้จะเชื่อมต่ออยู่กับสล็อตสำหรับการ์ดแสดงผลโดยเฉพาะตำแหน่ง ของ สล็อตอยู่ใกล้กับหน่วยประมวลผลกลางที่สุดและแผงวงจรหลัก
1 แผง จะมีสล็อตแบบ AGP ได้เพียง 1
สล็อตเท่านั้น
3.) ระบบบัสแบบพีซีไอเอกซ์เพรส(peripheral component interconnect Express : PCI Express)เนื่องจากความต้องการ อุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ที่มีความเร็วในการรับ-ส่งข้อมูลที่สูงขึ้นและระบบบัสแบบ
PCI และ AGP ไม่สามารถสนองตอบต่อความ ต้องการนี้ได้อย่างเต็มที่
เนื่องจาก PCI มีความเร็วที่ต่ำไป ส่วน AGP ใช้ได้กับสล็อตการ์ดแสดงผลเพียงอย่างเดียวและมีได้ 1 สล็อตเท่านั้น จึงได้มีการพัฒนาระบบบัสแบบใหม่ คือ PCI Express ขึ้นมา ซึ่งเป็นบัสที่มีความเร็วสูงและมีอัตรารับ-ส่งข้อมูลสูง
ที่มา https://sites.google.com/site/pareveelalovesite/hnwy-kar-reiyn-ru-thi-2/xngkh-prakxb-khxng-khxmphiwtexr |
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น